Friday, June 26, 2009

เทคนิคทำให้หายโกรธ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้นานแล้วว่า ความโกรธเหมือนไฟที่เผาไหม้คนเราอยู่ทุกวัน ท่านทรงเตือนสติชาวพุทธไว้ว่า "ผู้ฆ่าความโกรธได้ย่อมเป็นสุข"

สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า "ความโกรธมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน" หมายความว่า ในเบื้องต้นความโกรธจะแสดงพิษสงต่อจิตใจทำให้หงุดหงิด เร่าร้อน เดือดดาล จึงต้องรีบระบายออกโดยเร็วด้วยการด่าว่า ทุบตี ทำลาย บุคคลหรือสิ่งของที่เป็นต้นเหตุให้โกรธ และเมื่อสาแก่ใจแล้วในปั้นปลายจะรู้สึกโล่งใจ สบายใจ จึงเรียกว่า มียอดหวาน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ความโกรธจะปรากฏชัดเจน จะมีลำดับในการเกิดเริ่มจาก จิตขุ่นมัว ตัวสั่นเทา ด่าผู้ที่ทำให้โกรธอย่างหยาบคาย ทำร้าย หรือถึงขั้นต้องการทำลายชีวิตเขา และเมื่อความโกรธถึงขั้นสูงสุดก็จะฆ่าเขาแล้วกลับมาฆ่าตนเองในที่สุด

คนขี้โกรธมีหลายจำพวก บางคนเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น ขี้โมโห ชอบเอาแต่ใจตัวเอง อ่อนไหวง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย โกรธง่ายแม้เรื่องเล็กน้อยไร้สาระ โกรธไปหมดแม้กระทั่งลมฟ้าอากาศและสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว โดยหารู้ไม่ว่าแต่ละครั้งที่โกรธนั้นเกิดโทษอย่างไรต่อร่างกายและจิตใจตัวเอง

ความโกรธมีผลร้ายต่อร่างกายดังนี้
1. ทำลายรสอาหาร ทำให้หมดความอยากรับประทานอาหาร
2. ทำให้ระบบย่อยอาหารไม่ปรกติ
3. เกิดความระส่ำระสายในร่างกาย
4. เหงื่อที่ออกเพราะความโกรธจะเป็นพิษต่อร่างกาย
5. ทำให้เส้นประสาทพิการ
6. ในเด็กที่ถูกแกล้งหรือทำให้โกรธอยู่เสมอจะทำให้เจริญเติบโตช้าผิดปรกติ

นอกจากนี้นักวิจัยพบว่า ความโกรธทำให้คลื่นหัวใจเปลี่ยนแปลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความโกรธยังมีผลทำให้ปอดอ่อนแอลงเพราะในขณะที่โกรธร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพื่อเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ และหลั่งสารเคมีที่ทำให้เซลล์ที่หลอดลมเกิดการเผาไหม้ หลอดลมจึงตีบลงทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก ซึ่งในระยะยาวสามารถก่อผลเสียต่อปอดจนไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนดังเดิมได้

เทคนิคทำให้หายโกรธ

1. "กลัว"ความโกรธ ทันทีที่โกรธให้เตือนตัวเองว่า เรารับพิษร้ายเข้าไปแล้ว ให้พยายามระงับความโกรธไว้อย่าแสดงกิริยาออกมา ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธดังกล่าวมาข้างต้น

2. ระงับความโกรธด้วยเมตตา ธรรมะที่ตรงข้ามกับความโกรธคือ เมตตา จึงควรระงับโกรธด้วยการให้อภัยแล้วสร้างเมตตาขึ้นมาแทนที่ ความเมตตานอกจากจะช่วยบรรเทาความโกรธแล้ว ยังทำให้จิตใจผ่องใส มีความสุขทั้งในขณะตื่นและในขณะหลับ และช่วยไม่ให้ฝันร้าย รวมทั้งเป็นที่รักของผู้คนทั้งหลายด้วย

3. มองว่าทั้งเราและเขาต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ในสังสารวัฏนี้ไม่มีใครสามารถรอดพ้นการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปได้สักคน ดังนั้นเราทุกคนล้วนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันทั้งนั้น จะมัวโกรธกันให้เสียเวลาไปทำไม

4. ตั้งสตินึกถึงความดีของคนคนนั้น เช่นนึกว่าเขาเคยทำดีและมีบุญคุณกับเราอย่างไร หรือนึกถึงส่วนดีอื่นๆที่น่าประทับใจของเขา แทนที่จะมองแต่ข้อเสียด้านเดียว

5. จินตนาการว่าคนที่เราโกรธเป็นเด็กเล็กๆ สัก 1-2 ขวบ แล้วทำความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเขาให้เหมือนลูกของเรา เพียงเท่านี้ความโกรธจะหายไปอย่างปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้จะดูว่าง่ายและน่าขัน แต่รับรองว่าจะทำให้คุณหายโกรธได้เป็นอย่างดี

6. สงบศึกด้วยการให้ของขวัญ โดยใช้กับคู่รักหรือเพื่อนสนิทที่กำลังโกรธกัน เพราะการแสดงออกซึ่งความรักโดยการให้สิ่งของหรือทำอะไรให้แก่อีกฝ่าย จะช่วยให้อีกฝ่ายหายโกรธได้ทันทีทั้งผู้ให้และผู้รับ

7. หยุดคิด ถ้าทำอย่างไรก็ไม่หายโกรธ ให้ลองใช้วิธี"หยุดคิด" หยุดความคิดทุกอย่างไว้สักครู่ แล้วหายใจเข้าปอดลึกๆยาวๆ และเอาใจมาจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกติดต่อกัน 10-20 ครั้ง เพียงเท่านี้ความโกรธก็จะมลายหายไป แต่ได้ความสบายกายและความปลอดโปร่งโล่งใจเข้ามาแทนที่

8. กราบพระเพื่อระงับความโกรธ เป็นกุศโลบายอันดีที่จะทำให้จิตใจมีความอ่อนน้อม หมดมานะคือความถือตัว ในสภาพจิตใจเช่นนี้ความโกรธย่อมคงอยู่ไม่ได้

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มนุษย์ยุติความโกรธแค้นด้วยการ ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธตอบ เวรกรรมที่มีต่อกันมาหลายภพหลายชาติจนนับไม่ถ้วนจะได้มลายหายไป แล้วหันมาเกื้อกูล สนับสนุนซึ่งกันและกันให้ดำเนินชีวิตไปในทางดี จะได้ไม่ถูกเผาผลาญด้วยไฟโกรธซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างที่เคยเป็นมา

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Secret